เครื่องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือพร้อมพิกัด GPS เป็นโครงงานชนะเลิศ IPST ROBOT CONTEST 2010 ไอเดียเยาวชนระดับมัธยม เพิ่มความฉับไวให้หน่วยกู้ภัย
นายพลกฤษณ์ สุขเฉลิม หรือ เต้ย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี จังหวัดราชบุรี เจ้าของผลงาน “ โครงงานเครื่องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือพร้อมพิกัด GPS” ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทประยุกต์ใช้งาน จาก โครงการ IPST ROBOT CONTEST 2010 ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เนื่องในโอกาสที่ประเทศไทยกำลังจะเป็นจ้าภาพจัดการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี 2554
พลกฤษณ์ศึกษาเทคโนโลยีวิทยุสื่อสารอยู่แล้ว จึงพัฒนาโครงงานนี้ขึ้นจากความสนใจที่มีอยู่เดิม ประกอบกับเหตุการณ์ หรือ อุบัติเหตุต่างๆ ที่ผ่านมา เช่น เครื่องบินตกที่จังหวัดน่าน พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ไม่สามารถหาผู้ประสบภัยเจอ กลายเป็นอุปสรรคของการเข้าช่วยเหลือ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว พลกฤษณ์จึงได้พัฒนาโครงงานนี้ขึ้นมาโดยหวังว่าจะอำนวยความสะดวกในการช่วยเหลือและกู้ภัย โดยอุปกรณ์จะส่งสัญญานขอความช่วงเหลือไปยังหน่วยกู้ภัยในทันทีที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งพิกัดที่เกิดเหตุ เพื่อให้หน่วยกู้ภัยสามารถเข้าช่วยเหลือได้รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาค้นหา และช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ประสบภัยได้อย่างมาก ซึ่งโครงงานนี้มีอาจารย์กำธร ใช้พระคุณ เป็นคุณครูที่ปรึกษา
พลกฤษณ์ได้นำเอาเทคโนโลยีการระบุพิกัดด้วยดาวเทียม หรือ GPS มาทำงานร่วมกับเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารไร้สายด้วยคลื่นวิทยุ และการติดต่อสื่อสารผ่านดาวเทียมมาช่วยในการพัฒนาอุปกรณ์ดังกล่าว โดย การใช้การระบุพิกัดผ่านดาวเทียม และนำเอาพิกัดดังกล่าวส่งไปกับคลื่นวิทยุผ่านทางดาวเทียมไปยังสถานีฐาน หากเกิดเหตุขึ้น อุปกรณ์สามารถส่งสัญญานขอความช่วยเหลือไปพร้อมกับพิกัด GPS ไปยังสถานีฐานที่เป็นหน่วยกู้ภัย ให้รับทราบถึงเหตุดังกล่าว และตำแหน่งที่ต้องเข้าช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
ในการพัฒนาอุปกรณ์เครื่องส่งสัญญานขอความช่วยเหลือพร้อมพิกัด GPS ได้พัฒนาอุปกรณ์ใน 4 ส่วน ใหญ่ ๆ คือ GPS Module Modem ระบบควบคุมการส่งสัญญานขอความช่วยเหลือ และเครื่องส่งวิทยุ อุปกรณ์แต่ละชนิดมีหน้าที่แตกต่างกันในการทำงาน เพื่อให้อุปกรณ์ทำงานได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ ได้มีการทดสอบการใช้งาน โดยจำลองการค้นหาผู้ประสบภัยในพื้นที่ประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร พบว่า สามารถที่จะทราบเหตุที่เกิดขึ้นโดยทันที และสามารถที่จะเข้าช่วยเหลือได้ในเวลาไม่นานนักหลังจากได้รับสัญญานขอความช่วยเหลือดังกล่าว เนื่องจากทราบพิกัดของผู้ขอความช่วยเหลืออย่างละเอียด
อีกทั้ง จากการทดสอบอุปกรณ์เกี่ยวกับประสิทธิภาพในการส่งสัญญาน พบว่า สามารถส่งสัญญานได้ในระยะสูงสุดถึง 2,000 กิโลเมตรห่างจากสถานีฐาน โดยใช้ดาวเทียม HOPE-1 คือ สามารถรับพิกัดจากประเทสไทย (จังหวัดราชบุรี) จากหมู่เกาะตอนล่างของประเทศญี่ปุ่นได้ในระดับหนึ่ง
พลกฤษณ์เริ่มหัดเขียนโปรแกรมตั้งแต่ ม.ต้น หาความรู้จาก อาจารย์ จากความรู้ต่างๆที่มีอยู่ ผมคิดว่าความรู้มีอยู่ทุกที่อยู่แล้ว จากนั้นก็หาประสบการณ์จากการแข่งขันด้านคอมพิวเตอร์มาเรื่อยๆ “ ผมว่าคอมพิวเตอร์เป็นอะไรที่น่าสนใจ เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆในการดำรงชีวิตได้ ”
พลกฤษณ์ยังบอกอีกว่า ทุกวันนี้เด็กรุ่นใหม่อย่างเขา สนใจคอมพิวเตอร์มากขึ้น แต่เด็กบางส่วนยังใช้คอมพิวเตอร์ไม่ถูก เอาเวลาส่วนใหญ่ไปใช้กับการเล่นเกม แต่ขณะเดียวกันเด็กหลายคนก็พัฒนาได้จากการเล่นเกมเช่นกัน ดังนั้น เขาเห็นว่าจะต้องมาปรับนิสัย ปรับพฤติกรรมเด็กให้ได้ ให้ใช้คอมพิวเตอร์ในทางสร้างสรรค์มากขึ้น
จากความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้ พลกฤษณ์ได้โควตาเข้าเรียนในคณะวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในปีการศึกษาหน้านี้ และ เขายังตั้งความหวังไว้ว่าอยากเป็นอาจารย์ด้านวิศวกรรมต่อไปในอนาคต
8 ก.พ. 2554
มข.ผลิตอุปกรณ์ฝึกหายใจอเนกประสงค์
BreatheMAX อุปกรณ์ฝึกหายใจอเนกประสงค์ นวัตกรรมใหม่สำหรับการบำบัดระบบหายใจที่ให้แรงต้านแบบเรียบง่ายสำหรับผู้ป่วยได้ใช้เอง
นักวิจัย มข.ผลิต BreatheMAX อุปกรณ์ฝึกหายใจอเนกประสงค์ นวัตกรรมใหม่สำหรับการบำบัดระบบหายใจที่ให้แรงต้านแบบเรียบง่ายสำหรับผู้ป่วยได้ใช้เอง ซึ่งอุปกรณ์นี้จะช่วยเสริมการรักษาทางกายภาพบำบัดให้ผู้ป่วยทุกวัยเพื่อส่งเสริมสุขภาพ บำบัดปัญหาระบบหายใจและสามารถลดความดันโลหิตสูง โดยราคาถูกกว่านำเข้าจากต่างประเทศ
ผศ. ดร. ชุลี โจนส์ อาจารย์ประจำสายวิชากายภาพบำบัด คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ปัจจุบันงานกายภาพบำบัดเฉพาะทางด้านระบบหายใจเป็นงานด้านการบำบัดรักษาความบกพร่อง และเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของปอด เช่น การระบายอากาศ การแลกเปลี่ยนก๊าซ ในผู้ป่วยตั้งแต่ระยะวิกฤติ จนถึง ระยะฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้วยวิธีการทางกายภาพที่ใช้หลักการหรือกลไกการทำงานตามธรรมชาติของปอดมาบำบัดสาเหตุของความบกพร่องนั้นๆ
แต่ปัญหาที่พบในผู้ป่วยระบบหายใจส่วนใหญ่จะมีเสมหะคั่งค้างในหลอดลมทำให้อุดกั้นทางเดินหายใจ ปอดแฟบ ปริมาตรการหายใจน้อย กล้ามเนื้อหายใจอ่อนแรง ภาวะหอบเหนื่อยง่าย ซึ่งพบในผู้ป่วยโรคปอดต่างๆ ผู้ป่วยหลังผ่าตัดช่องท้องส่วนบนหรือทรวงอก ผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจหรือหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ ผู้ป่วยที่เลิกใช้เครื่องช่วยหายใจไม่ได้ อัมพาต เคลื่อนไหวไม่ได้ หรือไม่รู้สึกตัว ทำให้ต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อในทางเดินหายใจได้ง่าย ปอดแฟบ ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง และทำให้คุณภาพชีวิตลดลง
ผศ. ดร. ชุลี กล่าวว่า แต่ประสิทธิภาพของการรักษาทางกายภาพบำบัดยังเป็นปัญหา เนื่องจากนักกายภาพบำบัดมีน้อย ไม่สามารถให้การรักษาอย่างเพียงพอ เพราะการรักษาแต่ละครั้งต้องใช้เวลา 30 - 60 นาที วันละหลายครั้ง ซึ่งอาจเป็นทุก 1-3 ชั่วโมง จึงต้องฝึกให้ผู้ป่วยรักษาตัวเอง ซึ่งจะทำได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากผู้ป่วยมีอุปกรณ์ใช้ในการฝึกด้วยตัวเองก็จะสามารถสร้างความสะดวกได้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้นจึงได้ทำการศึกษาวิจัย คิดค้นอุปกรณ์ฝึกหายใจอเนกประสงค์ BreatheMAX ซึ่งเป็นนวัตกรรมสำหรับการบำบัดระบบหายใจเพื่อแก้ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น โดยอุปกรณ์ BreatheMAX นี้เป็นเครื่องช่วยฝึกหายใจด้วยน้ำ ประกอบด้วย ขวดใส่น้ำ ที่มีท่อ 2 ท่อ ท่อหนึ่งเป็นท่อยาวจุ่มใต้น้ำ อีกท่อเป็นท่อสั้นอยู่เหนือน้ำ
อุปกรณ์นี้ใช้ประโยชน์ได้หลายประการ คือ ให้ความชื้นต่ออากาศที่หายใจเข้า และทำให้เกิดแรงสั่นในหลอดลม จึงสามารถใช้ในการระบายเสมหะเพิ่มขึ้น ให้สัญญาณป้อนกลับจากเสียงฟองอากาศแตก ซึ่งสามารถบอกลักษณะการหายใจ ได้จึงใช้ในการฝึกหายใจลึก และควบคุมลักษณะการหายใจตามต้องการ ใช้แรงดันน้ำเป็นแรงต้านต่อการหายใจเข้าหรือออก จึงใช้ในการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหายใจ และทำให้เกิดแรงดันบวกขณะหายใจออกในหลอดลม จึงช่วยเปิดหลอดลมและถุงลมมากขึ้น ซึ่งใช้ในการลดภาวะปอดแฟบ และเพิ่มการระบายอากาศในผู้ป่วยโรคปอดได้
ผศ. ดร. ชุลี กล่าวต่อว่า BreatheMAX มีคุณสมบัติเด่นที่ไม่มีในอุปกรณ์ฝึกหายใจจากต่างประเทศ ซึ่งอุปกรณ์แต่ละแบบล้วนทำงานได้เพียงอย่างเดียว แต่ BreatheMAX สามารถทำงานได้อเนกประสงค์ ในอุปกรณ์เดียว ที่สามารถช่วยในเรื่องระบบหายใจ ทั้งเพิ่มสมรรถภาพกล้ามเนื้อหายใจ เพิ่มความลึกของการหายใจและปริมาณระบายอากาศของปอด เพิ่มการละลายเสมหะ ลดการปิดของหลอดลมขณะหายใจออก ควบคุมแผนการหายใจ และสามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
“นอกจากนี้ BreatheMAX ยังมีราคาถูกกว่าอุปกรณ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดย BreatheMAX จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 650 บาท แต่อุปกรณ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 1,200 บาท จึงทำให้รัฐประหยัดงบประมาณในการสั่งชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ได้เป็นจำนวนหลายล้านบาทต่อปี และปัจจุบัน BreatheMAX สามารถนำไปใช้ได้จริงกับผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่น โรงพยาบาลศรีนครินทร์ โรงพยาบาลขอนแก่น และ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เป็นต้น มีจำหน่ายตามร้านขายยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ และจดอนุสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ ผศ. ดร. ชุลี กล่าว
นักวิจัย มข.ผลิต BreatheMAX อุปกรณ์ฝึกหายใจอเนกประสงค์ นวัตกรรมใหม่สำหรับการบำบัดระบบหายใจที่ให้แรงต้านแบบเรียบง่ายสำหรับผู้ป่วยได้ใช้เอง ซึ่งอุปกรณ์นี้จะช่วยเสริมการรักษาทางกายภาพบำบัดให้ผู้ป่วยทุกวัยเพื่อส่งเสริมสุขภาพ บำบัดปัญหาระบบหายใจและสามารถลดความดันโลหิตสูง โดยราคาถูกกว่านำเข้าจากต่างประเทศ
ผศ. ดร. ชุลี โจนส์ อาจารย์ประจำสายวิชากายภาพบำบัด คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ปัจจุบันงานกายภาพบำบัดเฉพาะทางด้านระบบหายใจเป็นงานด้านการบำบัดรักษาความบกพร่อง และเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของปอด เช่น การระบายอากาศ การแลกเปลี่ยนก๊าซ ในผู้ป่วยตั้งแต่ระยะวิกฤติ จนถึง ระยะฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้วยวิธีการทางกายภาพที่ใช้หลักการหรือกลไกการทำงานตามธรรมชาติของปอดมาบำบัดสาเหตุของความบกพร่องนั้นๆ
แต่ปัญหาที่พบในผู้ป่วยระบบหายใจส่วนใหญ่จะมีเสมหะคั่งค้างในหลอดลมทำให้อุดกั้นทางเดินหายใจ ปอดแฟบ ปริมาตรการหายใจน้อย กล้ามเนื้อหายใจอ่อนแรง ภาวะหอบเหนื่อยง่าย ซึ่งพบในผู้ป่วยโรคปอดต่างๆ ผู้ป่วยหลังผ่าตัดช่องท้องส่วนบนหรือทรวงอก ผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจหรือหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ ผู้ป่วยที่เลิกใช้เครื่องช่วยหายใจไม่ได้ อัมพาต เคลื่อนไหวไม่ได้ หรือไม่รู้สึกตัว ทำให้ต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อในทางเดินหายใจได้ง่าย ปอดแฟบ ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง และทำให้คุณภาพชีวิตลดลง
ผศ. ดร. ชุลี กล่าวว่า แต่ประสิทธิภาพของการรักษาทางกายภาพบำบัดยังเป็นปัญหา เนื่องจากนักกายภาพบำบัดมีน้อย ไม่สามารถให้การรักษาอย่างเพียงพอ เพราะการรักษาแต่ละครั้งต้องใช้เวลา 30 - 60 นาที วันละหลายครั้ง ซึ่งอาจเป็นทุก 1-3 ชั่วโมง จึงต้องฝึกให้ผู้ป่วยรักษาตัวเอง ซึ่งจะทำได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากผู้ป่วยมีอุปกรณ์ใช้ในการฝึกด้วยตัวเองก็จะสามารถสร้างความสะดวกได้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้นจึงได้ทำการศึกษาวิจัย คิดค้นอุปกรณ์ฝึกหายใจอเนกประสงค์ BreatheMAX ซึ่งเป็นนวัตกรรมสำหรับการบำบัดระบบหายใจเพื่อแก้ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น โดยอุปกรณ์ BreatheMAX นี้เป็นเครื่องช่วยฝึกหายใจด้วยน้ำ ประกอบด้วย ขวดใส่น้ำ ที่มีท่อ 2 ท่อ ท่อหนึ่งเป็นท่อยาวจุ่มใต้น้ำ อีกท่อเป็นท่อสั้นอยู่เหนือน้ำ
อุปกรณ์นี้ใช้ประโยชน์ได้หลายประการ คือ ให้ความชื้นต่ออากาศที่หายใจเข้า และทำให้เกิดแรงสั่นในหลอดลม จึงสามารถใช้ในการระบายเสมหะเพิ่มขึ้น ให้สัญญาณป้อนกลับจากเสียงฟองอากาศแตก ซึ่งสามารถบอกลักษณะการหายใจ ได้จึงใช้ในการฝึกหายใจลึก และควบคุมลักษณะการหายใจตามต้องการ ใช้แรงดันน้ำเป็นแรงต้านต่อการหายใจเข้าหรือออก จึงใช้ในการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหายใจ และทำให้เกิดแรงดันบวกขณะหายใจออกในหลอดลม จึงช่วยเปิดหลอดลมและถุงลมมากขึ้น ซึ่งใช้ในการลดภาวะปอดแฟบ และเพิ่มการระบายอากาศในผู้ป่วยโรคปอดได้
ผศ. ดร. ชุลี กล่าวต่อว่า BreatheMAX มีคุณสมบัติเด่นที่ไม่มีในอุปกรณ์ฝึกหายใจจากต่างประเทศ ซึ่งอุปกรณ์แต่ละแบบล้วนทำงานได้เพียงอย่างเดียว แต่ BreatheMAX สามารถทำงานได้อเนกประสงค์ ในอุปกรณ์เดียว ที่สามารถช่วยในเรื่องระบบหายใจ ทั้งเพิ่มสมรรถภาพกล้ามเนื้อหายใจ เพิ่มความลึกของการหายใจและปริมาณระบายอากาศของปอด เพิ่มการละลายเสมหะ ลดการปิดของหลอดลมขณะหายใจออก ควบคุมแผนการหายใจ และสามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
“นอกจากนี้ BreatheMAX ยังมีราคาถูกกว่าอุปกรณ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดย BreatheMAX จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 650 บาท แต่อุปกรณ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 1,200 บาท จึงทำให้รัฐประหยัดงบประมาณในการสั่งชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ได้เป็นจำนวนหลายล้านบาทต่อปี และปัจจุบัน BreatheMAX สามารถนำไปใช้ได้จริงกับผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่น โรงพยาบาลศรีนครินทร์ โรงพยาบาลขอนแก่น และ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เป็นต้น มีจำหน่ายตามร้านขายยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ และจดอนุสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ ผศ. ดร. ชุลี กล่าว
หุ่นยนต์ตรวจมะเร็งตัวแรกในไทย
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เตรียมพร้อมรับมือมะเร็งปากมดลูก ชูเทคนิคใหม่ตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยหุ่นยนต์ เพิ่มความแม่นยำ
นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ทดลองใช้เครื่องตรวจมะเร็งชนิดใหม่ ตินเพร็พ อิมเมเจอร์ (ThinPrep Imager System) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองหาเซลล์ผิดปกติ และมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ด้วยระบบอัตโนมัติ มีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองเซลล์ผิดปกติได้พร้อมกัน 22 จุด เป็นเครื่องแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นำมาใช้งานจริงแล้วที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
เทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ที่มีความเกิดข้องกับมะเร็งปากมดลูก โดยสามารถตรวจพร้อมกันได้ 250 ตัวอย่าง และมีความผิดพลาดน้อยมากเมื่อเทียบกับการตรวจแบบปกติ ทำให้ไม่ต้องตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผล
"การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยเทคนิคตินเพร็บได้นำมาใช้ในประเทศไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเทคนิคดังกล่าวมีความไวมากกว่าการตรวจด้วยเทคนิคแป็ปสเมียร์ในแบบเดิม และเป็นครั้งแรกที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้นำเครื่อง ตินเพร็พ อิมเมเจอร์ หรือระบบหุ่นยนต์ช่วยในการวิเคระห์ผลแทนมนุษย์เข้ามาใช้ สามารถตรวจทราบผลได้ภายใน 3-5 วัน"ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าว
ค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยเทคนิคใหม่ ไม่ต่างจากการตรวจคัดกรองมะเร็งในแบบเดิมหรือตินเพร็พ (ThinPrep) ที่ 500 บาท ต่อตัวอย่างซึ่งจำเป็นต้องใช้ชุดน้ำยาในการตรวจวิเคราะห์ผล ขณะที่ตัวเครื่องมีราคาสูงถึง 20 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันอัตราผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกจะลดลงกว่าที่ผ่านมา แต่ นพ.ธีรวุฒิ กล่าวยอมรับว่า มะเร็งปากมดลูกยังเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 ของผู้ป่วยใหม่ รองจากมะเร็งเต้านม และมีจำนวนผู้ป่วยใหม่ 1 หมื่นคนต่อปี
สำหรับวิธีการป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้คือการตรวจคัดกรอง เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดโรค ทั้งนี้เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่ไม่แสดงอาการภายนอกให้เห็น
"การตรวจด้วยเทคนิคเซลล์วิทยาจะช่วยให้พบความผิดปกติระยะก่อนเป็นมะเร็งได้ถึง 50% อีกทั้งการตรวจที่แม่นยำจะทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องมาตรวจซ้ำเป็นประจำทุกปี หรือ 5 ปี ครั้ง สำหรับสตรีที่แต่งงานแล้ว และอายุ 30 ปีขึ้นไป" นพ.ธีรวุฒิ กล่าว
ทั้งนี้ นอกจากเทคนิคการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยเครื่องตินเพร็พ อิมเมเจอร์ แล้ว ในทางการแพทย์ยังได้พัฒนาเครื่องมือช่วยตรวจหามะเร็งปากมดลูกจากไวรัสเอสพีวี ซึ่งมีความจำเพาะต่อโรคมากกว่า โดยเทคโนโลยีใหม่สามารถตรวจหาได้ละเอียดถึงระดับเซลล์ในตำแหน่งที่ 16 และ 18 ของเชื้อไวรัสเอชพีวี ที่ก่อมะเร็งได้สูงถึง 70% แต่มีค่าใช้จ่ายในการตรวจอยู่ที่ สูงถึง 1,600 บาทต่อตัวอย่าง ซึ่งในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติจะนำตัวเครื่องที่พัฒนาให้ตรวจได้ในราคาถูกเข้ามาให้บริการแก่ผู้ป่วยในประเทศไทยต่อไป
นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ทดลองใช้เครื่องตรวจมะเร็งชนิดใหม่ ตินเพร็พ อิมเมเจอร์ (ThinPrep Imager System) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองหาเซลล์ผิดปกติ และมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ด้วยระบบอัตโนมัติ มีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองเซลล์ผิดปกติได้พร้อมกัน 22 จุด เป็นเครื่องแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นำมาใช้งานจริงแล้วที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
เทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ที่มีความเกิดข้องกับมะเร็งปากมดลูก โดยสามารถตรวจพร้อมกันได้ 250 ตัวอย่าง และมีความผิดพลาดน้อยมากเมื่อเทียบกับการตรวจแบบปกติ ทำให้ไม่ต้องตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผล
"การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยเทคนิคตินเพร็บได้นำมาใช้ในประเทศไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเทคนิคดังกล่าวมีความไวมากกว่าการตรวจด้วยเทคนิคแป็ปสเมียร์ในแบบเดิม และเป็นครั้งแรกที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้นำเครื่อง ตินเพร็พ อิมเมเจอร์ หรือระบบหุ่นยนต์ช่วยในการวิเคระห์ผลแทนมนุษย์เข้ามาใช้ สามารถตรวจทราบผลได้ภายใน 3-5 วัน"ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าว
ค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยเทคนิคใหม่ ไม่ต่างจากการตรวจคัดกรองมะเร็งในแบบเดิมหรือตินเพร็พ (ThinPrep) ที่ 500 บาท ต่อตัวอย่างซึ่งจำเป็นต้องใช้ชุดน้ำยาในการตรวจวิเคราะห์ผล ขณะที่ตัวเครื่องมีราคาสูงถึง 20 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันอัตราผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกจะลดลงกว่าที่ผ่านมา แต่ นพ.ธีรวุฒิ กล่าวยอมรับว่า มะเร็งปากมดลูกยังเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 ของผู้ป่วยใหม่ รองจากมะเร็งเต้านม และมีจำนวนผู้ป่วยใหม่ 1 หมื่นคนต่อปี
สำหรับวิธีการป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้คือการตรวจคัดกรอง เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดโรค ทั้งนี้เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่ไม่แสดงอาการภายนอกให้เห็น
"การตรวจด้วยเทคนิคเซลล์วิทยาจะช่วยให้พบความผิดปกติระยะก่อนเป็นมะเร็งได้ถึง 50% อีกทั้งการตรวจที่แม่นยำจะทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องมาตรวจซ้ำเป็นประจำทุกปี หรือ 5 ปี ครั้ง สำหรับสตรีที่แต่งงานแล้ว และอายุ 30 ปีขึ้นไป" นพ.ธีรวุฒิ กล่าว
ทั้งนี้ นอกจากเทคนิคการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยเครื่องตินเพร็พ อิมเมเจอร์ แล้ว ในทางการแพทย์ยังได้พัฒนาเครื่องมือช่วยตรวจหามะเร็งปากมดลูกจากไวรัสเอสพีวี ซึ่งมีความจำเพาะต่อโรคมากกว่า โดยเทคโนโลยีใหม่สามารถตรวจหาได้ละเอียดถึงระดับเซลล์ในตำแหน่งที่ 16 และ 18 ของเชื้อไวรัสเอชพีวี ที่ก่อมะเร็งได้สูงถึง 70% แต่มีค่าใช้จ่ายในการตรวจอยู่ที่ สูงถึง 1,600 บาทต่อตัวอย่าง ซึ่งในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติจะนำตัวเครื่องที่พัฒนาให้ตรวจได้ในราคาถูกเข้ามาให้บริการแก่ผู้ป่วยในประเทศไทยต่อไป
ขั้นตอนการผลิตสื่อนวัตกรรมการศึกษา
สองมือน้อยคอยสรรค์สร้าง
วัสดุอุปกรณ์ในการผลิตสื่อ
ขั้นตอนการผลิตสื่อฯ
ชุดการสอนประกอบด้วย 3 ศูนย์ ดังนี้
ชุดพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กกล่องที่ 1 ประกอบไปด้วย ลูกปัดหลากสี รูปทรงแตกต่างกัน จำนวน 3 รูปทรง (รูปหัวใจ รูปดาว รูปผีเสื้อ) รูปทรงละ 10 อัน กล่องพลาสติกใสขนาดเล็ก 3 กล่อง และกล่องพลาสติกขนาดใหญ่ 1 กล่อง ในการผลิตชุดการสอนกล่องที่ 1 เป็นการนำเอาลูกปัดหลากสี จำนวน 3 รูปทรง รูปทรงละ 10 อัน นำไปคละกันไว้ในกล่องพลาสติกขนาดใหญ่ ในการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก (นิ้วมือ) เป็นการฝึกใช้นิ้วมือในการบังคับการหยิบลูกปัดแต่ละรูปทรงลงในกล่องพลาสติกขนาดเล็กแต่ละกล่อง และเป็นการฝึกการแยกแยะลูกปัดที่มีรูปทรงแตกต่างกันชุดพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กกล่องที่ 2 ประกอบไปด้วย แป้นเสียบกระดาษ 2 อัน ห่วงพลาสติกขนาดเล็กและขนาดใหญ่ จำนวนขนาดละ 12 ชิ้น กระดาษสี กรรไกร กาว กล่องพลาสติกใสขนาดใหญ่ ในการผลิตชุดการสอนกล่องที่ 2 เป็นการนำเอากระดาษมาพันกับเหล็กที่อยู่บนแป้นเสียบกระดาษทำเช่นเดียวกันทั้ง 2 อัน จากนั้นนำเอาห่วงพลาสติกทั้งสองขนาดมารวมกันในกล่องพลาสติกใส ในกล่องที่ 2 เป็นการฝึกพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็ก (นิ้วมือ) ในการหยิบจับสิ่งของด้วยความแม่นยำ และเป็นการฝึกทักษะการแยกแยะวัตถุที่มีขนาดหรือรูปร่างแตกต่างกันลงในแป้นเสียบแต่ละอัน ในการทำแป้นเสียบสิ่งที่ควรคำนึงถึงความปลอดภัยของอุปกรณ์ โดยเป็นการทำแป้นเสียบให้มีความโค้งมนเหมาะสำหรับการหยิบจับของเด็กมากที่สุด
ชุดพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กกล่องที่ 3 ประกอบไปด้วย เชือก 3 เส้น ลูกปัด 3 สี (สีเขียว สีเหลือง สีแดง) สีละ 12 ลูก กล่องพลาสติกใสขนาดใหญ่ ในการผลิตชุดการสอนกล่องที่ 3 เป็นการนำเอาลูกปัดทั้งสามสีมารวมกันในกล่องพลาสติกใสขนาดใหญ่ ในการฝึกพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็ก (นิ้วมือ) เป็นการแยกแยะวัตถุที่มีสีต่างกัน
7 ก.พ. 2554
Multipoint
Multipoint เป็น Technology ที่ทาง Microsoft พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ 1 เครื่องสามารถต่อเชื่อมกับ mouse ได้มากกว่า 1 ตัว จนถึง 250 ตัว สามารถทำได้โดยการใช้ Microsoft Office PowerPoint 2003/2007 และติดตั้งโปรแกรมที่ใช้ Multipoint คือ MithyMice โปรแกรมนี้จะใช้สำหรับเป็นสื่อการเรียนการสอนสำหรับสถานศึกษาที่มีจำนวนคอมพิวเตอร์ต่อนักเรียนน้อย เช่น Computer 1 ตัว ต่อ นักเรียน 40 คน เมื่อนำ Multipoint เข้ามาใช้จึงทำให้ Computer 1 เครื่อง สามารถถูกใช้งานได้พร้อมกันจากนักเรียน 40 คน
ณ ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีในการจัดการสอนของครูมีมากมาย เพื่อจะให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนของนักเรียน เทคโนโลยีต่าง ๆ ได้ถูกพัฒนา คิดค้น จากบริษัทเกี่ยวกับซอฟแวร์ หรือ นักคอมพิวเตอร์ผู้มากด้วยความสามารถหลาย ๆ คน
แต่ สิ่งหนึ่งในการที่จะใช้เทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มให้การเรียนของนักเรียนมีความน่าสนใจนั้นก็คือ โรงเรียนต้องมีความพร้อมทางเทคโนโลยีพอสมควร เช่น คอมพิวเตอร์ มีเพียงพอสำหรับให้นักเรียนได้ศึกษา หากเราไม่นับโรงเรียนเด่น โรงเรียนดังระดับจังหวัด อำเภอ ที่มีนักเรียนเป็นพัน ๆ คน มีห้องปฏิบัติการด้านคอมพิวเตอร์ จำนวนหลายห้องแล้ว ประเทศไทยยังมีโรงเรียนที่มีคอมพิวเตอร์ที่ไม่เพียงพอต่อนักเรียนอีกมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก , โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา และโรงเรียนประถมศึกษา ซึ่งหากใช้โปรแกรมMultipoint แล้ว จะสามารถพัฒนาการสอนของครูผู้สอน และนักเรียนสามารถเรียนรู้ได้พร้อม ๆ กัน จากคอมพิวเตอร์เพียง 1 เครื่อง
แต่ สิ่งหนึ่งในการที่จะใช้เทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มให้การเรียนของนักเรียนมีความน่าสนใจนั้นก็คือ โรงเรียนต้องมีความพร้อมทางเทคโนโลยีพอสมควร เช่น คอมพิวเตอร์ มีเพียงพอสำหรับให้นักเรียนได้ศึกษา หากเราไม่นับโรงเรียนเด่น โรงเรียนดังระดับจังหวัด อำเภอ ที่มีนักเรียนเป็นพัน ๆ คน มีห้องปฏิบัติการด้านคอมพิวเตอร์ จำนวนหลายห้องแล้ว ประเทศไทยยังมีโรงเรียนที่มีคอมพิวเตอร์ที่ไม่เพียงพอต่อนักเรียนอีกมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก , โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา และโรงเรียนประถมศึกษา ซึ่งหากใช้โปรแกรม
- ในห้องเรียน มีเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง , มี mouse (เม้าส์) จำนวนเท่ากับนักเรียนในชั้นเรียน 1 ห้อง- ครูเตรียมการสอนโดยใช้ Multipoint- เมื่อถึงเวลาทำกิจกรรมระหว่างเรียน หรือ การถามตอบ นักเรียนสามารถทำได้พร้อม ๆ กัน นักเรียนสนุก และมีความพร้อมในการเรียนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากได้ทำกิจกรรมในระหว่างการเรียน ทำให้ไม่เบื่อการเรียน- ลดปัญหาการขาดแคลนคอมพิวเตอร์ในการสอนได้
อุปกรณ์ที่จำเป็น
- Usb Hub ชนิดมีอะเดปเตอร์ (ไฟเลี้ยง) เนื่องจากต้องต่อเม้าส์จากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแม่ ไปให้นักเรียนได้ใช้จำนวนหลายตัว ดังนั้น Usb Hub ซึ่งเป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงเม้าส์ ควรจะต้องมีไฟเลี้ยงเพื่อไม่ให้ดึงไฟจากเครื่องพิวเตอร์ อาจทำให้เครื่องพิวเตอร์ทำงานหนักเพิ่มขึ้น อาจทำให้เม้าส์ไม่ทำงาน- เครื่องคอมพิวเตอร์- โปรเจคเตอร์ อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ หากไม่มีหรือไม่ใช้ ก็ใช้ทีวีแทนได้เช่นกัน
E-Learning
E-Learning คือ ระบบการเรียนทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีประสิทธิภาพสูง
สามารถเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างกว้างขวางสามารถควบคุมลำดับชั้นของการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างระบบ การสื่อสารภายในห้องเรียนที่ไม่มีข้อจำกัดในด้านเวลาและสถานที่และระบบการประเมินผลก็เป็นไปอย่าง ตรงไปตรงมาและเหนือสิ่งอื่นใด ระบบการเรียนรู้ E-learning ผู้เรียนจะต้องใช้ความรับผิดชอบสูงจึงจะ ประสบความสำเร็จ ในประเทศไทยมีสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาหลายแห่งให้ความสนใจ และ เริ่มต้นพัฒนาระบบการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการค้นการเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ ความสะดวกและรวดเร็ว ความคงทนของข้อมูล รวมทั้งความสามารถในการทำข้อมูลให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
บทบาทการเรียนการสอน E-learning ในประเทศไทย
สังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ IT E-learning เป็นการนำไอทีไปใช้ในด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพด้าน การเรียนการสอนในหลากหลายรูปแบบ เช่นการนำมัลติมีเดียมาเป็นสื่อการสอนของครู/อาจารย์ ให้ผู้เรียน เรียนรู้ค้นคว้าด้วยตัวเอง ด้วยการเรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม
ในยุคปัจจุบันเป็นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า Stand-alone หรือการเรียนผ่านเครือข่าย เชื่อมโยงสู่อินเทอร์เน็ตเพื่อการค้นคว้าหาข้อมูล แลกเปลี่ยนค้นข้อมูลความรู้บนเครือข่ายซึ่งที่ผ่านมาเราใช้สื่อ การเรียนการสอนในรูปแบบของสื่อผสม (Multimedia) ใช้การนำเสนอลงบนแผ่นซีดี-รอม โดยใช้ Authoring tool ทั้งภาพและเสียงเพื่อเกิดการปฏิสัมพันธ์ ให้กับผู้เรียนซึ่งสื่อเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะได้รับ ความสนใจสูงขึ้นเรื่อยๆ
การเปรียบเทียบการเรียนการสอนแบบชั้นเรียนปกติกับ E-learning
ชั้นเรียนปกติ
1. ผู้เรียนนั่งฟังการบรรยายในชั้นเรียน
2. ผู้เรียนค้นคว้าจากตำราในห้องสมุดหรือสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ
3. เรียนรู้การโต้ตอบจากการสนทนาในชั้นเรียน
4. ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่
2. ผู้เรียนค้นคว้าจากตำราในห้องสมุดหรือสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ
3. เรียนรู้การโต้ตอบจากการสนทนาในชั้นเรียน
4. ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่
E-learning
1. ใช้ระบบวีดีโอออนดีมานด์เรียนผ่านทางเว็บ
2. ค้นคว้าหาข้อมูลผ่านทางเว็บที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงทั่วโลก สะดวก รวดเร็ว และทันสมัย
3. ใช้ระดานถาม-ตอบช่วยให้ผู้เรียนกล้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้เต็มที่ เหมาะกับผู้เรียนจำนวน มาก
4. จะเรียนเวลาไหน ที่ใดก็ได้
2. ค้นคว้าหาข้อมูลผ่านทางเว็บที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงทั่วโลก สะดวก รวดเร็ว และทันสมัย
3. ใช้ระดานถาม-ตอบช่วยให้ผู้เรียนกล้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้เต็มที่ เหมาะกับผู้เรียนจำนวน มาก
4. จะเรียนเวลาไหน ที่ใดก็ได้
เวลาของการศึกษาออนไลน์
การศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ได้เจริญเติบโตไปทั่วทุกมุมโลก แนวโน้ม ของเทคโนโลยีดีขึ้น เร็วขึ้นและให้ผลตอบแทนที่มากขึ้นทำให้เกิดความต้องการที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ระบบการศึกษาทางอิเล็กทรอนิกส์กำลังพัฒนามาสู่แอพพลิเคชั่น รูปแบบใหม่ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆอยู่เสมอ
อนาคตของระบบการศึกษาทางอิเล็กทรอนิกส์
สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับการศึกษาทางอิเล็ก ทรอนิกส์จะเติบโตและเป็นที่แพร่หลายก็คือ การที่ระบบเครือข่ายมีเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการนำเสนอระบบ การเรียนการสอนที่น่าสนใจเช่น การใช้เสียงส่งสัญญาณวีดีโอตามความต้องการ ( Video on demand) และการประชุมผ่านสัญญาณวีดีโอ ในขณะเดียวกันก็ให้บริการที่เชื่อถือได้
ประเภทของe-learning แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม
1. Synchronous - ผู้เรียนและผู้สอนอยู่ในเวลาเดียวกัน เป็นการเรียนแบบเรียลไทม์ เน้นผู้เรียน เป็นศูนย์กลาง เช่นห้องเรียนที่มีอาจารย์สอนนักศึกษาอยู่แล้วแต่นำไอทีเข้ามาเสริมการสอน
2 . Asychronous- ผู้เรียนและผู้สอนไม่ได้อยู่ในเวลาเดียวกันไม่มีปฏิสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ เน้นศูนย์กลางที่ผู้เรียนเป็นการเรียนด้วยตนเองผู้เรียน เรียนจากที่ใดก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเข้าไป ยังโฮมเพจเพื่อเรียน ทำแบบฝึกหัดและสอบ มีห้องให้สนทนากับเพื่อร่วมชั้นมีเว็บบอร์ดและอีเมล์ให้ถาม คำถามผู้สอน แต่ละประเภทก็มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป
ข้อดี ของ Synchronous คือ ได้บรรยากาศสด ใช้กับกรณีผู้สอนมีผู้ต้องการเรียนด้วยเป็นจำนวนมาก และสามารถประเมินจำนวนผู้เรียนได้ง่าย
ข้อเสีย ของ Synchronous คือ กำหนดเวลาในการเรียนเองไม่ได้ต้องเรียนตามเวลาที่กำหนดของคน กลุ่มใหญ่
ข้อดี ของ Asynchronous คือ ผู้เรียน เรียนได้ตามใจชอบ จะเรียนจากที่ไหน เวลาใด ต้องการเรียน อะไรหรือให้ใครเรียนด้วยก็ได้
ข้อเสีย ของ Asynchronus ไม่ได้บรรยากาศสด การถามด้วย chat หรือเว็บบอร์ดอาจไม่ได้รับการตอบ กลับ E – learning ในสถานศึกษา สามารถใช้ได้กับสถานศึกษา เริ่มจากที่มหาวิทยาลัย อาจารย์ให้นักศึกษา รับการบ้าน ส่งการบ้านทางอินเทอร์เน็ต มีการพัฒนานำเนื้อหาไว้ที่โฮมเพจของมหาวิทยาลัยให้นักศึกษาเข้า มาเรียนจากบ้านได้
ประโยชน์จาก E-learning
1 ความรู้ไม่สูญหายไปกับคนเพราะสามารถเก็บไว้ได้
2 ประหยัดเวลาเดินทางและค่าใช้จ่าย
3 ผู้เรียนเลือกได้ว่าต้องการเรียนกับอาจารย์ท่านใดหรือหลายท่านก็ได้
2 ประหยัดเวลาเดินทางและค่าใช้จ่าย
3 ผู้เรียนเลือกได้ว่าต้องการเรียนกับอาจารย์ท่านใดหรือหลายท่านก็ได้
6 ก.พ. 2554
WBI
ก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า WBI คืออะไร
WBI ย่อมาจาก Web based instruction
WBI ไม่ใช่ CAI
WBI เป็นเครื่องมือสำหรับ การจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ E-Learning
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ E Education และเป็นส่วนย่อยของระบบใหญ่ E Commerceดังภาพ


(แสดงรูประบบ)

WBI ย่อมาจาก Web based instruction
WBI ไม่ใช่ CAI
WBI เป็นเครื่องมือสำหรับ การจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ E-Learning
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ E Education และเป็นส่วนย่อยของระบบใหญ่ E Commerceดังภาพ
แสดงระบบ E-Commerce => E education => E-Learning
ความเป็นระบบ System
WBI เป็น การจัดการศึกษาในรูปแบบ Web Knowladge Based On Line เป็นการจัดสภาวกาณ์การเรียนการสอน ในรูปแบบ On Lineโดยมีข้อกำหนด
อย่างไรจึงจะเรียกว่า WBI
การจะเป็น WBI จะต้องมีสิ่งต่อไปนี้อย่างสมบรูณ์ ได้แก่
- ความเป็นระบบ
- ความเป็นเงื่อนไข
- การสื่อสารหรือกิจกรรม
- Learning Root
(แสดงรูประบบ)
ความเป็นระบบสามารถแบ่งเป็นInput ได้แก่1. ผู้เรียน
2. ผู้สอน
3. วัตถุประสงค์การเรียน
4. สื่อการสอน
5. ฐานความรู้
6. การสื่อสาร & กิจกรรม
7. การประเมินผล
8. อื่นๆ ฯลฯ (แล้วแต่สถาบันจะกำหนดปัจจัยที่นอกเหนือจากนี้)Process ได้แก่การสร้างสถานการณ์หรือการจัดสภาวะการเรียนการสอน โดยใช้วัตถุดิบจาก Input อย่างมี กลยุทธ หรือ ตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอนOutput ได้แก่ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ ซึ่งได้จากการประเมินผล
ความเป็นเงื่อนไข
อะไรคือ เงื่อนไข เงื่อนไขนับว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ WBI อาทิกำหนดเงื่อนไขว่า เมื่อเสร็จสิ้นจากการเรียนแล้วจะต้องทำแบบประเมินการเรียน หากทำแบบประเมินผ่านตามคะแนนที่กำหนดไว้ ก็สามารถไปศึกษาบทเรียนอื่นๆหรือบทเรียนที่ยากขึ้นเป็นลำดับได้ แต่ถ้าไม่ผ่านตามเงื่อนไขที่กำหนด ก็จะต้องเรียนซ้ำจนกว่าจะผ่าน
การสื่อสารหรือกิจกรรม
อะไรคือ การสื่อสาร & กิจกรรม กิจกรรมจะเป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการปฏิสัมพันธ์ หรือการสื่อสารขึ้นภายในสถานะการณ์การเรียน โดยไม่ต่างจากห้องเรียนปกติอาจเรียกว่า Virturl Classroom กิจกรรมจะเป็นตัวช่วยให้การเรียนเข้าสู่เป้าหมาย ได้ง่ายขึ้น เช่น ใช้ Mail Chat Webboard Search ฯลฯ ติดต่ออาจารย์หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อถามข้อสงสัย
Learning Root
Learning Root มิใช่ Learning Link กล่าวคือ Learning Root เป็นการกำหนดแหล่งความรู้ภายนอก ที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน โดยมีเงื่อนไข เช่น แหล่งความรู้ภายนอก ที่มีความยากเป็นลำดับ หรือ เกี่ยวข้องกับหัวข้อการเรียนเป็นลำดับ การกำหนด Leaning Root โดยใช้ เทคนิค Frame จะช่วยให้ผู้เรียนไม่เกิดภาวะหลงทาง
Multimedia (สื่อประสม)
ในปัจจุบันนี้ บทบาทของไมโครคอมพิวเตอร์นับวันจะมีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการดำเนินธุรกิจ การศึกษา หรืออื่น ๆ บริษัทผู้ผลิตจะมีการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาต่ำ ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลทำให้การเติบโตของตลาดพีซีเป็นไปอย่างรวดเร็วนั้น ได้แก่ ความสามารถของเครื่องพีซีที่เพิ่มมากขึ้น การใช้เครื่องพีซีในปัจจุบันไม่จำกัดอยู่กับซอฟต์แวร์ที่ง่ายๆ อย่างเช่น เวิร์ดโปรเซสซึ่งอีกต่อไป มีซอฟต์แวร์ประยุกต์มากมายที่สนับสนุนการทำงานให้มีความนิยมใช้มากขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของการทำงานของพีซีเอง เมื่อใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่มีความซับซ้อน ทำให้สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสามารถของไมโครคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ได้หลายระบบ ไม่ว่าจะใช้ในลักษณะที่เป็นเครื่องเดียวหรือติดตั้งในลักษณะที่เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ความสามารถในการใช้สื่อต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ปัจจุบันสามารถที่จะผสมผสานสื่อต่างๆ เช่น ภาพ เสียง วิดีโอ ฮาร์ดดิสก์ จอภาพ ทำให้มีการประยุกต์ใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น ระบบคอมพิวเตอร์สื่อประสมนับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์สื่อประสม
สื่อประสมเป็นการนำคอมพิวเตอร์มาควบคุมสื่อต่างๆ เพื่อให้ทำงานร่วมกันในลักษณะของการผสมผสานอย่างเป็นระบบ เช่น อาจสร้างโปรแกรมให้มีการนำเสนองานที่เป็นข้อความ มีการเคลื่อนไหวจากวิดีโอประกอบ หรือมีเสียงบรรยายสลับกันไป
เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสื่อประสม
สื่อประสมไม่ใช่เทคโนโลยีเดี่ยวเพียงลำพัง แต่ระบบคอมพิวเตอร์สื่อประสมนั้น
เป็นการรวมเทคโนโลยีหลายอย่างเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้เกิดความสมบูรณ์ในการทำงานเทคโนโลยีเหล่านั้นได้แก่
ตัวอย่างการสร้างสื่อ Multimedia
ความสามารถของไมโครคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ได้หลายระบบ ไม่ว่าจะใช้ในลักษณะที่เป็นเครื่องเดียวหรือติดตั้งในลักษณะที่เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ความสามารถในการใช้สื่อต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ปัจจุบันสามารถที่จะผสมผสานสื่อต่างๆ เช่น ภาพ เสียง วิดีโอ ฮาร์ดดิสก์ จอภาพ ทำให้มีการประยุกต์ใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น ระบบคอมพิวเตอร์สื่อประสมนับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์สื่อประสม
สื่อประสมเป็นการนำคอมพิวเตอร์มาควบคุมสื่อต่างๆ เพื่อให้ทำงานร่วมกันในลักษณะของการผสมผสานอย่างเป็นระบบ เช่น อาจสร้างโปรแกรมให้มีการนำเสนองานที่เป็นข้อความ มีการเคลื่อนไหวจากวิดีโอประกอบ หรือมีเสียงบรรยายสลับกันไป
เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสื่อประสม
สื่อประสมไม่ใช่เทคโนโลยีเดี่ยวเพียงลำพัง แต่ระบบคอมพิวเตอร์สื่อประสมนั้น
เป็นการรวมเทคโนโลยีหลายอย่างเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้เกิดความสมบูรณ์ในการทำงานเทคโนโลยีเหล่านั้นได้แก่
1. เทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลการพิจารณาเลือกซอฟต์แวร์เพื่อสร้างสรรค์งานด้านสื่อประสม ดังนี้
2. เทคโนโลยีการย่อขนาดข้อมูล
3. เทคโนโลยีไมโครคอมพิวเตอร์
4. เทคโนโลยีจอภาพ
5. เทคโนโลยีอุปกรณ์ป้อนข้อมูล
6. เทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย
7. เทคโนโลยีซอฟต์แวร์
8. เทคโนโลยีการสื่อความหมาย ข้อมูลนำเสนอ และวิธีการ
1. ความง่ายในการใช้งาน
2. ความสามารถในการนำเสนอ
3. ความสามารถในการติดต่อกับผู้ใช้
4. ความสามารถในการใช้ตัวแปรและฟังก์ชันในการคำนวณและประมวลผล
5. ความสามารถในการใช้งานร่วมกับโปรแกรมอื่น ๆ
6. ความสามารถในการทำงานเอกสารประกอบโปรแกรม
7. ความสามารถในการส่งแอพพลิเคชั่นที่เสร็จแล้วให้ผู้
8. ความสามารถในการนำแอพพลิเคชั่นไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ
ตัวอย่างการสร้างสื่อ Multimedia
CAI คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
CAI ย่อมาจาก computer-assisted instruction หรือ computer-aided instruction คำนี้เป็นศัพท์ในสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ และสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งราชบัณฑิตยสถาน บัญญัติศัพท์ว่า “ซีเอไอ” หรือ “การสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย” แต่คนทั่วไปนิยมเรียกว่า “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” ซึ่งมักอ้างอิงถึงซอฟแวร์ทางการศึกษาชนิดหนึ่ง ที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเรียนการสอน CAI มีลักษณะเด่นสามประการคือ ประหยัด ได้ผล และฉลาด
นักวิชาการชาวไทยหลายท่าน ได้ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไว้แตกต่างกัน ดังนี้:
เราจะเข้าใจ CAI ได้ดียิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาถึงชนิดหรือประเภทต่างๆ ของมัน ซึ่งมีดังนี้:
เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา CAI แบ่งออกเป็นสี่กลุ่มคือ:
สำหรับระบบนิพนธ์บทเรียนของคนไทยที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ได้แก่ โปรแกรมจุฬา C.A.I. ของ นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ซึ่งได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527
การตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือชนิดใด หรือการพิจารณาว่าเครื่องมือใดเหมาะกับคุณ ขอให้เริ่มคิดเสียก่อนว่า แท้ที่จริงแล้ว มีความจำเป็นเพียงใดที่จะต้องสร้างบทเรียนนั้น บางที บทเรียนที่คุณต้องการ อาจมีวางจำหน่ายอยู่แล้ว และหากว่าไม่มี ก็ขอให้คิดถึงการสร้างบทเรียนด้วยระบบนิพนธ์บทเรียน เนื่องจากใช้งานง่ายและช่วยประหยัดเวลาได้มากในการพัฒนาบทเรียน ทั้งนี้ ให้เข้าใจว่า บทเรียน CAI โดยทั่วไปที่ใช้สอนได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงนั้น ต้องการเวลาในการพัฒนากว่า 200 ชั่วโมงทีเดียว
ตัวอย่าง CAI
มีคำหลายคำที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด (concept) ของ CAI เช่น Computer-Aided Instruction (CAI), Computer-Based Instruction (CBI), Computer-Aided Learning (CAL), Computer-Based Training (CBT), Computer-Based Education (CBE), Integrated Learning Systems (ILS) และคำอื่นๆ เช่น Intelligent Computer-Assisted Instruction (ICAI), Interactive Knowledge Retrieval systems (ITR) เป็นต้น
นักวิชาการชาวไทยหลายท่าน ได้ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไว้แตกต่างกัน ดังนี้:
- ศ.ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน: การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องช่วย
- รศ.ยืน ภู่วรวรรณ: โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ได้นำเนื้อหาวิชาและลำดับวิธีการสอนมาบันทึกเก็บไว้ คอมพิวเตอร์จะช่วยนำบทเรียนที่เตรียมไว้อย่างเป็นระบบ มาเสนอในรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนแต่ละคน
- รศ.ดร.ฉลอง ทับศรี: บทเรียนที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวนำเสนอเนื้อหาและกิจกรรมการเรียน ส่วนใหญ่มุ่งที่จะให้ผู้เรียนเรียนด้วยตนเองเป็นหลัก
- ผศ.ดร.สุกรี รอดโพธิ์ทอง: โปรแกรมคอมพิวเตอร์หลายๆรูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสอนและการรับรู้ของผู้เรียน
- สารานุกรมศัพท์การศึกษาและจิตวิทยา สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา ม.สุโขทัยธรรมาธิราช: การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในระบบการเรียนการสอนวิชาต่างๆ เช่น วิชาสังคม ศิลป วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ รวมทั้งวิชาคอมพิวเตอร์ โดยถือว่า คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในระบบการเรียนการสอนที่สามารถให้ผู้เรียนรู้ผลการตอบสนองได้รวดเร็วกว่าสื่อประเภทอื่น ยกเว้นสื่อบุคคล
ประเภทของบทเรียน
เราจะเข้าใจ CAI ได้ดียิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาถึงชนิดหรือประเภทต่างๆ ของมัน ซึ่งมีดังนี้:
- ฝึกทบทวน (Drill and Practice) ถือว่าทักษะต่างๆที่ได้ถูกนำเสนอมา และการฝึกฝนปฏิบัติต่อไปให้มากขึ้น เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ
- สอนเนื้อหาใหม่ (Tutorial) กิจกรรมการสอนเนื้อหาใหม่นี้รวมทั้งการนำเสนอข้อมูลและเพิ่มเติมเป็นงานในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการฝึกทบทวน (drill and practice) เกมส์ (games) และการจำลองสถานการณ์ (simulation)
- แก้ปัญหา (Problem Solving) ซอฟแวร์การแก้ปัญหาสอนทักษะและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาเฉพาะเรื่อง
- จำลองสถานการณ์ (Simulation) ซอฟแวร์จำลองสถานการณ์สามารถจัดเตรียมสภาพที่คล้ายคลึงกับความเป็นจริง ซึ่งการจำลองไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตจริง หรือไม่เสี่ยงอันตราย
- เกมการศึกษา (Educational Game) ซอฟแวร์เกมส์สร้างการแข่งขันเพื่อให้ได้รับคะแนนสูงสุดและเอาชนะคู่แข่งหรือเอาชนะคอมพิวเตอร์ หรือทั้งสองอย่าง
- ค้นพบ (Discovery) ซอฟแวร์การค้นพบจัดเตรียมฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เฉพาะเจาะจงไปยังแนวความคิดหนึ่งๆ หรือขอบเขตเนื้อหาหนึ่ง และท้าทายผู้เรียนให้วิเคราะห์ เปรียบเทียบ วินิจฉัย และหาค่า โดยยึดการสำรวจข้อมูลของเขาเป็นหลัก
ชนิดของเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา
เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา CAI แบ่งออกเป็นสี่กลุ่มคือ:
- ภาษาโปรแกรมระดับสูง (high-level languages) เช่น BASIC, Pascal, Logo และ C
- ภาษานิพนธ์บทเรียน (authoring languages) เช่น Coursewriter, Pilot และ Tutor
- ระบบนิพนธ์บทเรียน (authoring systems) เช่น PHOENIX, DECAL, Icon-Author, InfoWindow, LS1, SOCRATIC และ Authorware
- เครื่องช่วยนิพนธ์บทเรียน (authoring utilities) ซึ่งแบ่งออกได้อีกหลายชนิด เช่น lesson shell (ตัวอย่างโปรแกรม: Apple Shell Games), code generator (ตัวอย่างโปรแกรม: Screen Sculptor) และ library routines
สำหรับระบบนิพนธ์บทเรียนของคนไทยที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ได้แก่ โปรแกรมจุฬา C.A.I. ของ นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ซึ่งได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527
การตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือชนิดใด หรือการพิจารณาว่าเครื่องมือใดเหมาะกับคุณ ขอให้เริ่มคิดเสียก่อนว่า แท้ที่จริงแล้ว มีความจำเป็นเพียงใดที่จะต้องสร้างบทเรียนนั้น บางที บทเรียนที่คุณต้องการ อาจมีวางจำหน่ายอยู่แล้ว และหากว่าไม่มี ก็ขอให้คิดถึงการสร้างบทเรียนด้วยระบบนิพนธ์บทเรียน เนื่องจากใช้งานง่ายและช่วยประหยัดเวลาได้มากในการพัฒนาบทเรียน ทั้งนี้ ให้เข้าใจว่า บทเรียน CAI โดยทั่วไปที่ใช้สอนได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงนั้น ต้องการเวลาในการพัฒนากว่า 200 ชั่วโมงทีเดียว
ตัวอย่าง CAI
3 ก.พ. 2554
เครื่องสกัดน้ำมันงาแบบเย็นสำหรับวิสาหกิจชุมชน
น้ำมันงาดิบเป็นน้ำมันที่มีคุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยควบคุมคลอเลสเตอรอลและป้องกันโรคได้หลายชนิด เนื่องจากมีสารอาหารที่สำคัญ คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น กรดโอเลอิก ที่มีความคงตัวและแตกตัวเป็นอนุมูลอิสระได้ยาก ทำให้น้ำมันงาอยู่ได้นานโดยไม่เหม็นหืน น้ำมันงาที่ได้จากการสกัดโดยวิธีเชิงกล เช่น การบีบอัดด้วยวิธีต่างๆ ที่อุณหภูมิขณะสกัดไม่สูงเกิน 60 องศาเซลเซียส จึงมีสารอาหารดังกล่าวครบถ้วนซึ่งสารดังกล่าวจะสลายไปหากสกัดน้ำมันงาด้วยวิธีทางเคมีหรือ ความร้อน
รศ.ดร.มงคล กวางวโรภาส สังกัด ภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ได้ออกแบบและสร้างเครื่องสกัดน้ำมันงาแบบเย็น (รูปที่ 1) โดยใช้กำลังจากระบบไฮดรอลิก ต้นกำลังประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 1.5 กิโลวัตต์ ขับปั๊มไฮโดรอลิกให้ส่งน้ำมันออกมาในอัตรา 3.7 ลิตรต่อนาที ด้วยความดันใช้งาน 150 บาร์ จำกัดความดันสูงสุดด้วยวาล์วผ่อนคลายความดัน น้ำมันจะถูกส่งผ่านวาล์วควบคุมทิศทางเข้าสู่กระบอกไฮดรอลิก
ชุดอุปกรณ์ของการสกัดประกอบด้วยกระบอกโลหะเจาะรูขนาด 2 มิลลิเมตรโดยรอบ บรรจุงาได้สูงสุดครั้งละ 2.5 กิโลกรัม ด้าน ล่างมีถาดรองรับน้ำมัน ด้านบนมีชุดฝาอัดยึดติดส่วนบนของเสาหลักของเครื่องสกัดน้ำมันงาแบบเย็นทำหน้าที่บีบอัดงาในกระบอกด้วยแรงดัน น้ำมันงาจะไหลออกจากรูรอบกระบอกลงสู่ถาดรองรับด้านล่าง ปริมาณน้ำมันงาที่ได้ คือ 800 ลูกบาศก์เซนติเมตรต่อชั่วโมง คิดเป็น 30-35 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก ในการสกัดแต่ละครั้งจะเปิดสวิทช์ควบคุมให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานเป็นบางจังหวะ เพื่อรักษาความดันน้ำมันไฮดรอลิกในวงจรให้อยู่ระหว่าง 100-150 บาร์
น้ำมันงาที่สกัดได้จากเครื่องสกัดน้ำมันงาแบบเย็นสำหรับวิสาหกิจชุมชนนี้ เป็นน้ำมันงาที่มีคุณภาพสูง มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น กรดไลโอเลอิก อยู่ครบถ้วน ไม่ถูกทำลายเหมือนน้ำมันงาที่สกัดด้วยวิธีทางความร้อนหรือด้วยวิธีการทางเคมี รวมทั้งไม่มีเศษชิ้นส่วนของเมล็ดงา ปะปนเหมือนการสกัดด้วยวิธีการใช้เกลียวอัด (screw press) น้ำมันงาที่สกัดได้จึงมีคุณภาพดี เป็นที่ต้องการของลูกค้าและเหมาะกับการใช้งานทุกประเภท เครื่องสกัดดังกล่าวมีกลไกการทำงานที่ไม่ซับซ้อน
จึงเหมาะกับการใช้งานในวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย
7 ม.ค. 2554
สวัสดีปีใหม่ 2554
สวัสดีปีกระต่ายทองค่า ทุกคนๆคน
ขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้านะคะ
มีความสุข ความเจริญ คิดสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนา
รวยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ^^
ขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้านะคะ
มีความสุข ความเจริญ คิดสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนา
รวยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ^^
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)